เริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่ 0 บทความนี้บอกหมด (สำหรับมือใหม่สุด)
[อัพเดทเนื้อหาตลอดชีพ] ในบทความนี้คุณจะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของการวางแผนทางการเงิน และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดกันเองได้ เพราะการเริ่มวางแผนทางการเงินไม่ใช่เรื่องยากครับ
ก่อนจะเริ่มต้นวางแผนทางการเงินกัน เจ้าของบทความมีสิ่งสำคัญ 3 เรื่อง ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ชาวมั่งมีทุกคนควรจะเข้าใจให้เห็นภาพก่อนกันก่อนครับ
3 เสาหลักในการวางแผนทางการเงินตามแบบฉบับของมั่งมี (🐈 mangmee) เจ้าของบทความแบ่งออกเป็น:
- ♖ เสาแรก: กระแสเงินสด (Cashflow) — เพื่อใช้วางแผนการเงินเดือนต่อเดือน และวางแผนนำเงินมา ลงทุน และเก็บออมต่อไป
 - ♖ เสาที่สอง: การลงทุน (Investment) — เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
 - ♖ เสาที่สาม: การออมเงิน (Saving) — ลดความเสี่ยงในชีวิตด้านต่างๆ
 
ทั้ง 3 เสานี้เป็นเรื่องหลักสำคัญที่ใช้ในการวางแผนการเงิน ซึ่งในแต่ละเสาก็มีรายละเอียดเชิงลึกอีกมากมายที่เราสามารถตามไปศึกษาเพิ่มเติมกันได้อีก แต่บทความนี้เราจะไม่ลงรายละเอียดเชิงลึก แต่เราจะเน้นสร้างความเข้าใจพื้นฐานให้ชาวมั่งมีก่อน เพื่อให้นำความรู้ในบทความไปคิดต่อยอดในแบบของตัวเองกันได้

งั้นเรามาเริ่มทำความรู้จักในแต่ละเสากันครับ
♖ เสาที่หนึ่ง: กระแสเงินสด (Cashflow)

ขั้นแรกสำคัญมากๆๆๆ เราต้องรู้ก่อนว่าการไหลของเงินในแต่เดือนของเราบวกลบเป็นยังไงครับ สิ่งที่จะช่วยเราได้คือการทำบัญชีกระแสเงินสดแบบง่ายๆ
คนส่วนใหญ่จะคุ้นหูกับคำว่า รายรับ (Income) รายจ่าย (Expense) ซึ่งในบทความนี้ เจ้าของบทความอยากให้มองกระแสเงินสดและรายรับรายจ่ายเป็นภาพเดียวกันนะครับ
ทำไมการทำรายรับ/รายจ่ายถึงสำคัญ?
- ชาวมั่งมีจะเห็นเลยว่ารายรับ สอดคล้องกับรายจ่ายเราจริงๆไหม
 - เป็นข้อมูลตั้งต้นแรก เพื่อใช้ต่อยอดในเรื่อง “การลงทุน (Investment)” และ “การออมเงิน (Saving)”
 - การลงบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยสร้างวินัยในการใช้เงินที่ดีให้กับเรา (สิ่งที่ฝึกฝนกันยากที่สุด)
 
หลังจากที่เราติดตามรายรับ และรายจ่ายทั้งหมด เราจะนำตัวเลข รายรับ - รายจ่าย และสิ่งที่เราจะได้คือ:
- ถ้าตัวเลขเป็นลบ 🔴 → จะทำให้เราจะรู้ว่าเราควรปรับลดตรงไหนได้บ้าง? หรือรายจ่ายตรงไหนบวม?
 - ถ้าตัวเลขเป็นบวก 🟢 → จะทำให้เราจะรู้ว่าเราควรเอาเงินไปทำอะไรต่อในหัวข้อ “การลงทุน (Investment)” หรือ “การออมเงิน (Saving)”
 
สิ่งที่เจ้าของบทความแนะนำมากๆคือ การแบ่งรายรับ รายจ่ายเป็นหมวดหมู่ และทำเป็นเดือนต่อเดือนติดกันให้ได้ 6 เดือน นะครับ เป็นตัวเลขที่เหมาะสมในการสร้างวินัยที่ดีครับ
ตัวอย่างหมวดหมู่สำหรับรายรับ 🟢
- 💰 เงินเดือน
 - 💰 ฟรีแลนซ์
 - 🛍 ขายของออนไลน์
 - 📊 ปันผล — รายได้ปันผลที่ได้จากหุ้นที่เราซื้อ
 - 📊 ขายทรัพย์สิน — รายได้ที่มาจากการขายทรัพย์สินต่างๆ เช่น ขายหุ้น, ขายคลิปโต เป็นต้น
 
ตัวอย่างหมวดหมู่สำหรับรายจ่าย 🔴
- 🏠 บ้าน
 - 🚘 รถยนต์
              
- ⚒️ ค่าซ่อมบำรุง
 - 🛢️ ค่าน้ำมัน
 
 - 🍛 อาหาร & เครื่องดื่ม
              
- ☕ กาแฟ
 - 🍛 อาหาร
 - 🍛 อาหารมื้อพิเศษ
 
 - 📊 ซื้อสินทรัพย์ — ซื้อหุ้น, ซื้อทอง, ซื้อคลิปโต
 - 🚌 เดินทาง — ขนส่งสาธารณะต่างๆ
 - 🤲🏻 บริจาค — เงินบริจาค, ใส่ซองงานแต่ง, ทำบุญ
 - 💄 ความงาม
 - 🩺 สุขภาพ
 - 🏞️ ท่องเที่ยว
 
ถ้าเราใช้เครื่องมือที่ดี และใส่ตัวเลขจริง ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาได้ประมาณนี้ครับ

ส่วนตัวเจ้าของบทความแนะนำให้ใช้โปรแกรมช่วยทุ่นแรงในการติดตามรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนครับ ตอนนี้ในตลาดมีโปรแกรมช่วยเยอะมากเลยครับ
เจ้าของบทความคัดมาให้ ลองไปจิ้มกันเองได้เลยครับ
- Spendee — ใช้ได้ทั้งบน Website, Android, iOS
 - Money Lover — ใช้ได้บน Android, iOS
 - MAKE by KBank — ใช้ได้บน Android, iOS
 - Money Pro — ใช้ได้บน Windows, Android, iOS, Mac
 - 🐈 mangmee — อันนี้ทางเรากำลังพัฒนา 😎
 
ไอเดียในการปรับลดรายจ่าย
มีคนเคยสอนเจ้าของบทความว่า การประหยัดค่ากาแฟวันละแก้ว ไม่ได้ช่วยเรื่องปรับลดรายจ่ายได้ครับ การจัดการค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญมากกว่า เช่น
- ค่าเช่า → อยู่กับเพื่อนเพื่อแชร์ค่าใช้จ่ายกัน
 - ค่าผ่อนซื้อรถ → เปลี่ยนเป็นเช่าแทน ไม่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา และประกัน
 - ค่า Subscription รายเดือน → ปรับแพ็กเกจให้จ่ายแชร์กับเพื่อน
 
ลองคิดให้ดีๆนะครับ การประหยัดสิ่งเล็กๆ อย่างเช่น ค่ากาแฟวันละแก้ว ที่อาจจะช่วยให้การทำงานชาวมั่งมีดีขึ้น↑ ส่งผลทางอ้อมให้เรามีรายได้มากขึ้น↑ มีโอกาสทำงานดีได้โบนัสท้ายปีมากขึ้น↑
เพราะฉะนั้นการะประหยัดค่ากาแฟวันละแก้ว ส่งผลแย่ให้เราทางอ้อมมากกว่านั้นมาก😞 ในทางกลับกันมูลค่าของกาแฟหนึ่งแก้วมีค่ามากว่านั้นมาก การประหยัดค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆไม่ใช่วิธีที่ดีซักเท่าไหร่ มองก้อนใหญ่ๆดีกว่าครับ
สรุปกระแสเงินสด (Cashflow)
- ทำให้เห็นเราเห็นภาพรวมการเงินในแต่ละเดือนว่า เราขาดเงิน หรือเหลือเงินเท่าไหร่
 - ตัวเลขที่ได้จาก 
รายรับ-รายจ่ายจะเป็นตัวตั้งต้นสำคัญว่าเราต้องทำอะไรต่อ เช่น- ปรับลดรายจ่าย/หาวิธีเพิ่มรายได้?
 - แบ่งไปลงทุน?
 - แบ่งเป็นเก็บออม?
 
 - การใส่ข้อมูลเพื่อสร้างบัญชีกระแสเงินสด คือ ด่านแรกในการสร้างวินัยทางการเงินที่เราต้องผ่านไปให้ได้
 - การประหยัดค่าใช้จ่ายๆเล็กๆน้อยไม่ใช่มีวิธีที่ดีนัก ให้มองค่าใช้จ่ายก้อนๆใหญ่ๆก่อนดีกว่า เช่น ค่าเช่า, ค่า subscription รายเดือน, ค่าผ่อนต่างๆ
 
♖ เสาที่สอง: การลงทุน (Investment)

ในแต่ละเดือนถ้า รายรับ - รายจ่าย เป็นบวก ✅ เราสามารถแบ่งเงินมาลงทุนต่อได้โดย
ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ควรลงทุนเฉพาะในสินทรัพย์ที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้เท่านั้น หากคุณยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรลงทุนอะไร นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณยังมีความรู้ไม่เพียงพอ เจ้าของบทความแนะนำให้ออกไปหาความรู้ก่อน หรือเก็บเงินไว้ก่อนได้ไม่เสียหายครับ กลยุทธ์การอยู่นิ่งๆไม่ใช่ทางที่แย่เสมอไป ดีกว่าเราไปเสียเงินกับสิ่งที่เราไม่รู้ (เจ้าของบทความเตือนละนะ 😡)
การที่คุณมีความรู้ในหุ้นตัวนั้นๆจะทำให้ชาวมั่งมีสามารถซื้อสินทรัพย์ตามมูลค่า ไม่ใช่ตามราคา (อ่านต่อเร็วนี้ๆ)
ตัวอย่างสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ และมีตลาดซื้อขายที่ชัดเจน
- ทอง
 - หุ้น
 - กองทุน (Fund)
 - กองทันดัชนี (Index Fund) — เช่น SET50, S&P500
 - พันธบัตร
 - อสังหา
 - คลิปโต — สำหรับคนที่ศึกษาจนเข้าใจแล้วว่าคืออะไร (เตือนละนะ)
 
สำหรับมือใหม่เจ้าของบทความแนะนำให้ศึกษาทั้ง 6+1 หัวข้อนี้ก่อนครับ (+1 คือคลิปโต)
มีคนทำบทความ และคลิปสอนดีๆไว้มากมาย เจ้าของบทความเชื่อว่าชาวมั่งมีทุกคนสามารถค้นหาความรู้กันเองได้ไม่ยากครับ
สามารถก็อปปี้ Keywords ด้านล้างไปค้นหาเพิ่มกันได้เลย
“เริ่มต้นลงทุนทองคำอย่างไร? เริ่มต้นลงทุนหุ้นอย่างไร?”
“พันธบัตรคืออะไร? มีกี่แบบ? เริ่มต้นลงทุนอย่างไร?”
“คลิปโตลงทุนอย่างไร ให้ปลอดภัยที่สุด?”

ในโลการลงทุน คุณสามารถรับมือกับการลงทุนที่ผันผวนตามภาพด้านบนได้ไหม?
นั่นคือสิ่งที่มือใหม่ทุกคนจะต้องเข้าใจ และรับมือกับมันอย่างถูกวิธีนะครับ
สิ่งมัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก
นั่นคือพลังของดอกเบี้ยทบต้นในการลงทุนครับ สิ่งที่จะทำให้สิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นกับชีวิตชาวมั่งมีได้
คือ “วินัย” ในการทำตามแผนการลงทุนของตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ ไม่เสียงของคนอื่น

สรุปการลงทุน (Investment)
- นำเงินที่เหลือจากกระแสเงินสดมาแบ่งลงทุนให้ได้ทุกเดือน 10-20% เช่น เหลือเงิน 5,000 ก็แบ่งมาลงทุนให้ได้ 500-1000 ต่อเดือน โดยที่มือใหม่ไม่ต้องสนใจว่าจำนวนเงินเยอะหรือน้อย แต่มองว่าเป็นการฝึกวินัย (ไม่ต้องรีบครับ)
 - หัวใจหลักของการลงทุน คือ “การใช้เงินทำงานแทนเรา” เพื่อสร้าง “ผลตอบแทนที่มากขึ้น” (ไม่ใช่รีบจนขาดทุน 😅)
 - สิ่งที่คุณสามารถควบคุมการลงทุนได้คือ ”ความเสี่ยง 🛡️” ไม่ใช่ “กำไร”
 
♖ เสาที่สาม: การออมเงิน (Saving)

ในแต่ละเดือนถ้า รายรับ - รายจ่าย > 0 เราสามารถแบ่งเงินมาลงทุนเก็บออมต่อได้เหมือนกับการลงทุน
สินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้คือ ทรัพย์สินที่สามารถเก็บรักษามูลค่าไว้ได้ในระยะยาว แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจผันผวน หรือ มีมูลค่าเฉลี่ยโตพอจะชนะเงินเฟ้อ (Inflation) ได้

เจ้าของบทความแนะนำมากๆให้ชาวมั่งมีไปศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง “เงินเฟ้อ” เพื่อให้เข้าใจ “สินทรัพย์ที่รักษามูลค่า” มากขึ้น
ตัวอย่างสินทรัพย์ที่สามารถสามารถรักษามูลค่าได้ (เน้นถือยาวๆ 10-20++ ปี)
- ทอง — ถือยาวๆ
 - กองทันดัชนี (Index Fund) — เช่น SET50, S&P500
 - หุ้นเกรดดีมากๆ — ความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่ใช่ไม่มีความเสียงเลย
 - พันธบัตรรัฐบาล — ความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่ใช่ไม่มีความเสียงเลย
 - Bitcoin — สำหรับคนที่ศึกษาจนเข้าใจแล้วว่าคืออะไร
 - ประกันโรคร้าย และอุบัติเหตุ — ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เช่น อุบัติเหตุไม่คาดคิด การออมเป็นเงินประกัน จะลดความเสี่ยงตรงนี้ได้มากๆ โดยประกันจะจ่ายก้อนใหญ่ๆแทนให้
 
สำหรับมือใหม่อยากให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมตามนี้ก่อนนะครับ สามารถก็อปปี้ Keywords ด้านล้างไปค้นหาเพิ่มกันได้เลย
“เริ่มต้นลงทุนทองคำอย่างไร?” “วิธีดูหุ้นเกรดดี ต้องดูอย่างไร?”
“พันธบัตรคืออะไร? มีกี่แบบ? เริ่มต้นลงทุนอย่างไร?” “Bitcoin คืออะไร?”
“วางแผนซื้อประกันต้องรู้อะไรบ้าง?”
จริงๆสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ยังมีอีกหลายอย่างมากๆ เช่น กระเป๋า, นาฬิกา, พระเครื่อง … แต่ต้องอาศัยความชำชาญในการดูมากๆก่อนกระโดดไปเล่น
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมสินทรัพย์หลายๆตัวสามารถมองได้ทั้งการลงทุน และการออมได้?
คำตอบคือ ให้ดูที่วัตถุประสงค์ครับ
ถ้าคุณต้องการซื้อสินทรัพย์เพื่อผลตอบแทน (สนใจที่มูลค่าเงิน) เราจะมองในมุมของการลงทุน เช่น ทอง 1 บาท = 40k บาทไทย
แต่ถ้าคุณซื้อสินทรัพย์นั้นเพื่อไว้รักษามูลค่า (สนใจที่จำนวนสินทรัพย์) เราจะมองว่ามันคือการเก็บออมมากกว่า เช่น ทอง 1 บาท = ทอง 1 บาท
สรุปการออมเงิน (Saving)
- นำเงินที่เหลือจากกระแสเงินสดมาแบ่งเก็บออมให้ได้ทุกเดือน 10-20% เช่น เหลือเงิน 5,000 ก็แบ่งมาเก็บให้ได้ 500-1000 ต่อเดือน โดยที่มือใหม่ไม่ต้องสนใจว่าจำนวนเงินเยอะหรือน้อย แต่มองว่าเป็นการฝึกวินัย
 - หัวใจหลักของการออมคือ “การนำเงินสดไปซื้อสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ (store of value)” เพื่อ “ลดความเสี่ยงชีวิตในด้านต่างๆ”
 - ในการออม เราจะให้ความสำคัญกับการสะสมจำนวนของสินทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ มากกว่าการกังวลเรื่องราคาครับ จะต่างจากการลงทุนที่เราจะเน้นการเข้าซื้อ-ขายในจังหวะราคาที่เหมาะสมเพื่อกำไร
              
- ทอง 1 บาท = ทอง 1 บาท ← มองในมุมการออม 🪙
 - ทอง 1 บาท = 40k บาทไทย ← มองในมุมการลงทุน 📊
 
 - เจ้าของบทความแนะนำว่าอย่าเก็บเงินในรูปแบบ สกุลเงิน (เงินบาท/เงิน USD) เพราะมูลค่าเงินของคุณจะลดลงเรื่อยๆจากเงินเฟ้อในทุกๆปี
 
สร้างระบบการแบ่งเงินเป็นของตัวเอง
หลังจากคุณเห็นภาพทั้ง 3 เสาแล้ว: กระแสเงินสด (Cashflow) การลงทุน (Investment) และ การออมเงิน (Saving) ขั้นต่อไปคุณต้องสร้างระบบการเงินของตัวคุณเอง
เจ้าของบทความจะยกตัวอย่างจริงที่ใช้อยู่ เอามาย่อให้เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ ซึ่งตัวเลขชาวมั่งมีทุกคนสามารถปรับให้เข้ากับตัวคุณเองในแต่ละเดือนได้เลยครับ
ตัวอย่าง: ระบบการเงินของนายมั่งมี
- 
              
ขั้นตอนที่ 1: คำนวนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงต่อเดือนให้ได้ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในทุกเดือน เช่น ค่าเช่า ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเดินทาง แต่ไม่รวม ค่าเที่ยว ซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่นๆ
- หลังจากติดตามค่าใช้จ่ายจริงเป็นเวลา 1 เดือน คุณทราบว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน จากข้อมูลในบัญชีกระแสเงินสดที่คุณบันทึก
 - นำตัวเลขมาหักลบกัน 25,000 - 15,000 = เหลือเงิน 10,000 บาท
 
 - 
              
ขั้นตอนที่ 2: กำหนดสัดส่วนการแบ่งเงิน
ในตัวอย่างนี้เราจะนำเงินที่เหลือ 10,000 บาท มาแบ่งเงินที่เหลือออกเป็น 3 หมวดหมู่ง่ายๆดังนี้:
- แบ่งไปลงทุน 30% → 10,000 x 30% = 3,000 บาท
 - แบ่งไปเก็บออม 40% → 10,000 x 40% = 4,000 บาท
 - ใช้จ่ายตามใจชอบ 30% → 10,000 x 30% = 3,000 บาท
 
สำหรับสัดส่วนเป็นเพียงตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนนะครับ
 - 
              
ขั้นตอนที่ 3: นำเงินที่แบ่งไว้ไปซื้อสินทรัพย์
- 
              
3,000 บาท → ลงทุนกับหุ้นในตลาดไทย 2 ตัว
💡 TIP: ถ้าใครดูกราฟเป็นว่ายังไม่ถึงเวลาซื้อ ก็สามารถถือเป็นเงินสดเก็บไว้ก่อนได้ครับ
 - 
              
4,000 บาท → ซื้อทองเก็บไว้ โดยที่ไม่ต้องสนใจราคาขึ้นหรือลง (DCA)
 - 
              
3,000 บาท → ละลายกับความสุขส่วนตัวได้เลยครับ แค่อย่าใช้เกินก็พอ 🤣
💡 TIP: การเครียดอยู่กับการจดจ่อในเรื่องการลงทุน และการออมมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก งบส่วนนี้จะช่วยให้ชาวมั่งมีผ่อนคลาย และมีวินัยในการจำกัดความสุขของตัวเองนะครับ
 
 - 
              
 
เพิ่มเติม: วิธีการลงทุน และออมเงินแบบ DCA
สำหรับการลงทุน และการเก็บออม เจ้าของบทความแนะนำเป็นวิธี
DCA หรือ Dollar-Cost Averaging เป็นการทยอยสินทรัพย์นั้นๆเป็นงวดๆ หรือทุกๆเดือน
วิธี DCA จะให้เห็นผลได้ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และมีวินัยครับ โดยที่ซื้อสินทรัพย์นั้นๆให้ได้ทุกๆเดือน แม้ว่าราคาจะผันผวนมากขนาดไหนก็ตาม
หลายคนขาดวินัยในเรื่องนี้ พอเห็นว่าสินทรัพย์ราคาสูงขึ้นเลยหยุดซื้อต่อ แต่ในความเป็นจริงคุณไม่สามารถรู้อนาคตได้ว่าราคาสินทรัพย์จะขึ้นหรือลง คุณทำได้แค่มีวินัย และทำตามระบบ ในระยะยาวระบบจะกลับมาตอบแทนคุณเองครับ

จากรูปทำไม DCA ถึงเหมาะกับมือใหม่
- คุณไม่ต้องพะวงหรือเครียดกับความผันผวนตลาด เพราะคุณแค่กดซื้อก็พอ คุณจะได้เอาเวลาไปจดจ่อกับสิ่งที่คุณรักได้ครับ
 - การันตีสินทรัพย์คุณมีจำนวนมากขึ้นแน่ๆ ตรงกับ Concept การออมที่สนใจที่จำนวนสินทรัพย์ แต่สนใจมูลค่าเป็นเรื่องรอง
 
สุดท้ายเจ้าของบทความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะทำให้ชาวมั่งมีทุกคนเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของการวางแผนทางการเงิน และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดกันเองได้ เพราะการเริ่มวางแผนทางการเงินไม่ใช่เรื่องยากครับ
สรุปประเด็นสำคัญ
- 
              
เรื่องสำคัญในการวางแผนการเงินมีทั้งหมด 3 เสา คือ ♖ เสาแรก: กระแสเงินสด (Cashflow), ♖ เสาที่สอง: การลงทุน (Investment) และ ♖ เสาที่สาม: การออมเงิน (Saving)
 - 
              
ขั้นตอนการวางแผนทางการเงิน หลังจากเข้าใจทั้ง 3 เสา นี้แล้ว
เริ่มจากสร้างบัญชีกระแสเงินสด → ออกแบบและทำตามระบบ (ตามตัวอย่างด้านบน) → ซื้อสินทรัพย์จริงตามที่ระบบแบ่งไว้
 - 
              
สิ่งที่ยากที่สุดของพื้นฐานการเงิน ไม่ใช่การที่คุณอ่านกราฟเทคนิคต่างๆเป็น หรือมีท่าการลงทุนสุดพิศดาล แต่มันคือการทำเรื่องง่ายๆคือ “การสร้างวินัยทางการเงิน” และ “การทำตามระบบ” ให้ได้เป็นระยะเวลานานๆ 10 ปี 20 ปี หรือตลอดชีวิต
 - 
              
วิธี DCA เป็นท่าการลงทุน และการออมที่เหมาะกับมือใหม่ เพราะช่วยฝึกเราให้มีวินัยทางการเงิน
 
ในบทความหน้าๆเรายังมีอิกหลายประเด็นที่ยังไม่ได้พูดถึง เช่น
- ตลาดหลักๆในการซื้อขายสินทรัพย์มีที่ไหนบ้าง
 - เครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบระบบการเงินที่ละเอียดมากขึ้น
 - การแบ่งบัญชีเพื่อเก็บสินทรัพย์ต่างๆ
 
รอติดตามที่เว็ป 🐈 mangmee กันได้เลยครับ All Wealth Simple | จัดการทุกความมั่งคั่งให้เรียบง่าย
